ทุกปีใน “สัปดาห์รู้รักตระหนักใช้ยาปฏิชีวนะ” มักมีการเน้นย้ำเรื่อง “การไม่ใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ” เพราะมันจะนำไปสู่ปัญหา “เชื้อดื้อยา” ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากทุก ๆ ปี
ทุกปีใน “สัปดาห์รู้รักตระหนักใช้ยาปฏิชีวนะ” มักมีการเน้นย้ำเรื่อง “การไม่ใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ” เพราะมันจะนำไปสู่ปัญหา “เชื้อดื้อยา” ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากทุก ๆ ปี
แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ ไม่รู้เลย คือ ปัญหาเชื้อดื้อยาไม่ได้้เกิดเฉพาะในโรงพยาบาล —มันกำลังซ่อนตัวอยู่ ในระบบการผลิตอาหารของเราเอง
และประเทศไทย… เป็นหนึ่งในต้นเหตุของปัญหาระดับโลกนี้ด้วยเช่นกัน

ปัญหาที่ไม่ได้ซ่อนอยู่ในโรงงาน แต่แฝงตัวอยู่ในเนื้อสัตว์ และไหลอยู่ในแม่น้ำลำคลอง
จาก “รายงานการศึกษาการตรวจหาแบคทีเรียดื้อยาที่สำคัญจากสิ่งแวดล้อมบริเวณฟาร์มเลี้ยงสุกรและไก่” ขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่พบการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะและเชื้อดื้อยาจากกิจกรรมปศุสัตว์ในระดับสูงจนน่าตกใจ
เราไม่ได้กำลังพูดถึง “น้ำเสีย” เฉย ๆ
แต่กำลังพูดถึงสิ่งที่ ย้อนกลับเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเรา เช่น:
- น้ำที่ชาวบ้านใช้รดพืชผัก
- แหล่งน้ำที่ไหลผ่านชุมชน
- และที่น่ากลัวที่สุด…
การปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ ที่ผู้บริโภคซื้อไปกินอย่างไม่รู้ตัว
นี่ไม่ใช่แค่ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือ ความมั่นคงทางอาหาร และ ความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศ

ทำไมมันถึงไม่แฟร์? ผลกำไรอยู่กับกลุ่มคนเพียงหยิบมือ แต่ผลกระทบตกอยู่กับทุกคนในสังคม
ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน ผู้ผลิตเนื้อสัตว์รายใหญ่ที่สุดในโลก เราเลี้ยง–ผลิต–ส่งออกเป็นสิบล้านตันต่อปี เราคือ “ครัวของโลก” อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ปัญหาคือ…
ยิ่งผลิตมาก — ยิ่งใช้ยาปฏิชีวนะมาก และ ยิ่งประเทศส่งออกมาก — คนในประเทศยิ่งเสี่ยงมาก
ความจริงที่คนไทยไม่ควรต้องต่อรอง: สุขภาพไม่ควรถูกแลกกับต้นทุนการผลิตราคาถูก
เมื่อพูดคุยกับเกษตรกรรายย่อยและชุมชนรอบฟาร์ม ทุกคนต่างสะท้อนภาพเดียวกัน:
- ระบบกดดันให้เกษตรกรต้องผลิตให้เร็วที่สุด ถูกที่สุด
- การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเหมือน “เครื่องมือจำเป็น” เพื่อให้สัตว์รอดในสภาพแออัด
- ชุมชนรู้สึกว่า “ทำอะไรไม่ได้” ทั้งที่เห็นปัญหาต่อหน้า
- และที่น่ากลัวที่สุด คือหลายคนเริ่มทราบว่ามีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อที่ดื้อยาหลายขนาน
มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย

ฟาร์มแชมเปี้ยน: ความหวังที่พิสูจน์ว่าเราทำได้ดีกว่านี้
โชคดีที่ยังมี “ฟาร์มแชมป์เปี้ยน” — ฟาร์มที่เลือกทำในสิ่งตรงข้ามกับระบบใหญ่
พวกเขาลดการพึ่งพายา ปรับระบบเลี้ยงให้เป็นธรรมชาติขึ้น และให้สวัสดิภาพสัตว์เป็นหัวใจของการผลิต
การลดความเครียดของสัตว์ การเลี้ยงในพื้นที่โปร่ง การลดความแออัด และการเปลี่ยนวิธีจัดการฟาร์ม ล้วนมีผลโดยตรงต่อการลดการใช้ยาปฏิชีวนะ
สำคัญคือ… พวกเขาพิสูจน์ว่ามัน ทำได้จริง และ ยังเลี้ยงครอบครัวได้อย่างยั่งยืน

Just Food Transition: ระบบอาหารต้องเปลี่ยนอย่างเป็นธรรม สำหรับทุกฝ่าย
การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่เรื่องของฟาร์มรายย่อยหรือผู้บริโภคฝ่ายเดียว แต่มันคือ ภารกิจระดับประเทศ
Just Food Transition คือการปรับระบบอาหารให้:
- ปลอดภัยกว่า
- เป็นธรรมต่อเกษตรกร
- ไม่ทิ้งชุมชนไว้ข้างหลัง
- และเคารพสวัสดิภาพสัตว์
ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะปกป้อง “คน” หรือ “สัตว์” ระบบอาหารที่ดีควรปกป้อง ทั้งคู่ พร้อมกัน
เราอยู่ในจุดที่ต้องเลือกแล้ว ว่าเราจะยอมให้ “มฤตยูดื้อยา” กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน หรือจะลุกขึ้นมาปรับระบบอาหารไทยให้ยุติธรรมกว่าเดิม
ทุกงานวิจัย ทุกเสียงจากชุมชน ทุกสัญญาณเตือน ล้วนบอกตรงกันว่า…
“ถ้าเราไม่ปรับระบบการผลิตวันนี้ คนไทยในอนาคตจะต้องจ่ายราคาที่แพงกว่านี้มาก ผ่านค่ารักษาพยาบาลและคุณภาพชีวิตที่แย่ลงท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมจากระบบผลิตแบบนี้”
ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ เรามีความสามารถ เรามีตัวอย่างความสำเร็จ และเรามีข้อมูลชัดเจนจากหลายรายงาน รวมถึงจากองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก
สิ่งที่เหลืออยู่คือ…
สิ่งที่เราสามารถลงมือทำได้เลยเพื่อร่วมกันเปลี่ยนผ่านระบบอาหารให้เป็นธรรมและยุติธรรมกับทุกชีวิตคือ
👉 ใช้เสียงของเราเพื่อหนุนนโยบาย Just Food Transition ของไทยให้เกิดขึ้นจริง
เลือกผู้ผลิตที่ดี แชร์ข้อมูล ตั้งคำถาม และร่วมเรียกร้องมาตรฐานที่ปลอดภัยและยั่งยืนกว่าเดิม